หน้าเว็บ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หมากแดง


หมากแดง

หมากแดง เป็นปาล์มพื้นเมืองในป่าพรุของจังหวัดนราธิวาส มีสีสันสดใส งดงามสดุดตาผู้พบเห็น   เหมาะสำหรับประดับในอาคาร ในร่ม   หรือกลางแจ้ง จึงเป็นที่ต้องการของตลาดพันธุ์ไม้ประดับในประเทศ   และยังเป็นที่นิยมในเขตร้อนอื่นๆด้วย    แต่เป็นพันธุ์ไม้ที่ค่อนข้างหายากและโตช้า   จึงทำให้ราคาสูง   คนจังหวัดนราธิวาสเรียกหมากแดงว่า “หมากกาบแดง“   เพราะกาบใบและก้านใบเป็นสีแดง   มีชื่อสามัญว่า “sealing   wax   palm “   ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า   ”cyrtostachys   renda “   หรือชื่อพ้องว่า   ” c.   lakka ”

ต้นหมากแดงขนาดใหญ่ อาจสูงถึง 20 เมตร

ต้นหมากแดงที่ปลูกอยู่ในวงบ่อ
หมากแดงมีใบแบบขนนก   ใบย่อยเรียงเป็นคู่อยู่บนก้านใบ 20-40 คู่   ยาว 30-50 ซม.   ก้านใบยาว 1-1.5 เมตร   กาบใบยาว 40-50   ซม.

ใบหมากแดง
ลำต้นมีสีเขียวคล้ำสูงถึง 20 เมตร   ใหญ่ 1.5-6 นิ้ว   แตกกอเป็นพุ่ม ไม่แยกเป็นต้นตัวผู้ตัวเมีย   ออกดอกเป็นช่อแผ่กระจายที่เรียกว่า   ” ทะลาย “   ในหนึ่งทะลายมีเมล็ดได้สูงสุดถึง   20,000 เมล็ด   แต่ปกติมี   3,000-8,000   เมล็ด

ช่อดอกที่พึ่งออก 

ช่อดอกที่ดอกบานแล้ว

เมล็ดหมากแดงที่ยังเล็กอยู่จะเป็นสีเขียว

เมล็ดหมากแดงที่ใหญ่ขึ้นมา

เมล็ดหมากแดงเมื่อแก่เต็มทีจะมีสีม่วงดำ ถึงดำ
การขยายพันธ ุ์สามารถทำได้ทั้งการแยกหน่อ และการเพาะเมล็ด   การแยกหน่อทำได้คราวละจำนวนน้อยตามขีดจำกัดของหน่อที่มีอยู่ ใช้เวลานาน   เปอร์เซ็นต์รอดต่ำ และทรงต้นไม่เป็นที่พอใจผู้พบเห็น   การเพาะเมล็ดโดยใช้เมล็ดที่แก่จัดมีสีดำเพาะในวัสดุเพาะที่ประกอบด้วยทราย อย่างเดียว   หรือทรายผสมขุ่ยมะพร้าวที่ร่อนเอาเส้นใยออกแล้ว   ระหว่างการเพาะไม่ควรให้วัสดุเพาะแห้ง(ต้องรดน้ำสม่ำเสมอ)   หากเพาะในตู้อบชื้นได้เป็นดีที่สุด โดยให้แสงรำไร(10-20%)   เมล็ดจะงอกภายใน   2-4 เดือน   ต้นกล้าที่มีใบ 1ใบ เหมาะสำหรับการย้ายปลูกในถุงเพาะชำและยังเหมาะกับการขนย้ายทางไกลเช่น   การส่งทางพัศดุไปรษณีย์   เพราะเมล็ดยังมีอาหารสะสมอยู่   ไม่เสียหายแต่ประการใด

เมล็ดหมากแดงเพาะในแปลงทราย

เมล็ดหมากแดงเริ่มงอกภายใน 2-4 เดือน

กล้าหมากแดงขนาด 2-4 ซม. อายุประมาณ 3-5 เดือน

กล้าหมากแดงอายุ ประมาณ 6-7 เดือน

เมล็ดหมากแดงเพาะในตู้อบชื้น
การปลูก เนื่องจากหมากแดงโตช้ามากใน ช่วงแรก   ( 3ปีได้ความสูงประมาณ 30 ซม.   5ปีได้ 1 เมตร )   ในการเพาะชำกล้าจึงแนะนำให้ใช้ภาชนะปลูกขนาดเล็กก่อน (แต่อย่าเล็กเกินไป   เพราะจะอุ้มน้ำไม่พอ   กล้าจะโตช้า ) แนะนำให้ใช้ถุงดำขนาด   4″x6″ (หรือถุงพับข้าง 2″x6″)ก่อน   หลังจากเลี้ยงไปได้ 12-18 เดือน จะได้ต้นหมากแดงสูง 10-15 ซม. แล้วจึงค่อยเปลี่ยนภาชนะปลูกให้ใหญ่ขึ้น   โดยเปลี่ยนมาใช้ถุงดำขนาด 8″x10″แทน(หรือถุงพับข้าง 4″x10″)

หมากแดงต้นเล็กปลูกเลี้ยงในถุงดำขนาดเล็ก(ถุงพับข้าง 2″X6″)
การดูแลรักษา หมากแดงเป็นพืชที่คลายน้ำมาก จึงต้องการน้ำมากในขณะยังเล็กอยู่ จำนวนรากยังมีน้อยอยู่มักจะดูดน้ำไปเลี้ยงยอดหรือใบไม่ทัน   ทำให้ต้นหมากแดงตายเป็นจำนวนมากในช่วงเวลานี้   ดังนั้นจึงควรให้แสงแต่เพียงเล็กน้อย (แสงรำไร) เพื่อลดการคายน้ำ โดยให้แสงประมาณ 10-20 %(ใช้สแลนหรือพลาสติกกรองแสงสีดำ   80-85 % (no.1210)คลุมโรงเรือน   หรือจะใช้สแลนหรือพลาสติกกรองแสงสีดำ 60%(no.810) 2ชั้นก็ได้   ใช้เวลาในช่วงนี้ประมาณ   12-18 เดือน แล้วจึงเพิ่มแสงมากขึ้นได้โดยเลี้ยงที่แสง 40-50% (ใช้สแลนหรือพลาสติกกรองแสงสีดำ 60%(no.810)เพียงชั้นเดียว)
น้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเลี้ยงหมากแดง จะต้องรดน้ำทุกวันโดยไม่รอให้ดินแห้งก่อน หากดินปลูกแห้งอาจทำให้ต้นหมากแดงขาดน้ำตายได้   ในช่วงที่ทำการย้ายกล้าใหม่ควรรดน้ำวันละ 2-3 ครั้ง   จนกว่ากล้าหมากแดงตั้งตัวได้ดีแล้ว จึงค่อยลดการรดน้ำเหลือวันละครั้ง

รดน้ำด้วยสายยางประหยัดน้ำแต่ใช้แรงงานมาก 

รดน้ำด้วยสปริงเกอร์ใช้น้ำมากแต่ประหยัดแรงงาน
ปุ๋ย การใช้ปุ๋ยกับหมากแดงขนาดเล็ก อยู่ในภาชนะขนาดเล็ก ไม่ควรที่จะให้ปุ๋ยเม็ด(ปุ๋ยเคมี) แนะนำให้ใช้ปุ๋ยคอกเก่าๆที่แห้งดีแล้วหรือปุ๋ยหมัก ผสมลงไปในดินปลูกเลยในช่วงการเตรียมดิน โดยใช้ไม่เกิน 10%    หลังจากปลูกกล้าหมากแดงแล้ว ให้ใช้ปุ๋ยเกล็ด สูตร 30-20-10 หรือ 20-20-20 ละลายน้ำขนาดความเข้มข้น 60-100 กรัม(4-6 ช้อนโต๊ะ)   ต่อน้ำ 20 ลิตร รดให้ทุก 7-10 วัน จะทำให้ต้นหมากแดงเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

กองปุ๋ยคอก(มูลไก่แห้งป่น) ในถัง200ลิตรเป็นถังปุ๋ยปลากับถังอีเอ็ม
โรค โรคที่พบบ่อยสำหรับต้นกล้าหมากแดง หรือหมากแดงที่มีขนาดเล็กอยู่ คือโรคใบจุด   ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยเกิดเป็นจุดสีน้ำตาลบริเวณใบและกาบใบ จุดนี้จะขยายใหญ่ขึ้นจนอาจทำให้ต้นตายได้   หากตรวจพบให้ฉีดพ่นด้วยยาป้องกันเชื้อราทุก 5-7 วัน ในระยะเกิดโรค หรือใช้จะใช้หัวเชื่ออีเอ็มผสมน้ำฉีดพ่นแทนก็ได้
แมลง แมลงศัตรูที่พบบ่อย   มีพวกหนอนผีเสื้อ ด้วง ปลวก และตักแตน   หากตรวจพบมีการระบาด   ควรฉีดพ่นด้วยยาฆ่าแมลงบ้างเพื่อลดการทำลายของศัตรูพวกนี้ให้น้อยลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น