หน้าเว็บ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถั่วพู

คนไทยรู้จักถั่วพูในฐานะผักอย่างหนึ่ง เมื่อเอ่ยถึงถั่วพูคนไทยส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงฝักอ่อนของถั่วพูเท่านั้น แต่ความจริงทั้งยอดอ่อน ดอกอ่อน และหัวของถั่วพูก็กินเป็นผักได้เช่นเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่นิยมฝักอ่อนมากกว่า ฝักอ่อนของถั่วพูใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ใช้เป็นผักจิ้ม (กับน้ำพริก, ปลาร้า ฯลฯ) ใช้ได้ทั้งดิบและสุก นอกจากนี้ยังมีตำรับยอดนิยมอื่นๆ อีก เช่น ยำถั่วพู แกงส้ม แกงป่า ฯลฯ และยังหั่นเป็นเครื่องเคียงขนมจีน หรือผสมในทอดมันเช่นเดียวกันกับถั่วฝักยาว แต่ทอดมันที่ใส่ถั่วพูกับถั่วฝักยาวจะมีรสชาติต่างกัน


          ยอดอ่อนและดอก อ่อนก็ใช้เป็นผักได้เช่นเดียวกัน แต่ใช้ปรุงอาหารได้ไม่หลากหลาย และไม่ได้รับความนิยมเท่าฝักอ่อน ส่วนหัวถั่วพูนั้นหากยังไม่แก่จัดใช้เป็นผักได้เช่นเดียวกันกับมันฝรั่ง หัวแก่ใช้เชื่อมหรือแช่อิ่มเป็นของหวาน หรือเผาทั้งเปลือกเช่นเดียวกันมันเทศหรือมันสำปะหลัง
          เมล็ดแก่ของถั่ว พูมีคุณสมบัติคล้ายเมล็ดถั่วเหลือง สามารถใช้แทนถั่วเหลืองได้ทุกอย่าง ในประเทศอินโดนีเซียมีอาหารประเภทพิเศษที่ทำจากเมล็ดถั่วพูนึ่งให้สุกแล้ว ใส่เชื้อหมักจนเกิดเส้นใยคลุมเป็นสีเฉพาะตัวของเชื้อนั้นๆ เช่น สีแสด สีเหลือง ฯลฯ นำมาปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับเต้าหู้ แต่มีกลิ่นรสและคุณค่าทางอาหารเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเรียกว่า เทมเป้ (Tempe) ปัจจุบันเทมเป้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่ผู้กินอาหารมังสวิรัติและเอาใจใส่เรื่องสุขภาพ แต่เทมเป้นอกประเทศอินโดนีเซียส่วนใหญ่ทำจากถั่วเหลือง เพราะใช้แทนกันได้          เมล็ดถั่วพูแก่มีปริมาณน้ำมันสูงถึงประมาณร้อยละ ๑๘ จึงนำมาสกัดน้ำมันได้ดี ทั้งน้ำมันเมล็ดถั่วพูยังมีคุณภาพสูงอีกด้วย
* สมุนไพร

          แพทย์พื้นบ้านของไทยนำหัวถั่วพูมาใช้เป็นยารักษาโรคมีปรากฏสรรพคุณตามตำราดังนี้ “หัวถั่วพู : รสชุ่มเย็น แก้อ่อนเพลีย หิวโหยหาแรงมิได้ ทำให้ดวงจิตชุ่มชื่น” อีกตำราหนึ่ง บอกว่า “หัวถั่วพู : ตากแห้งหั่นคั่วไฟให้เหลืองหอม ชกน้ำร้อนดื่มเป็นยาชูกำลังของคนป่วย ใบและลำต้น (เถา) ของถั่วพู ใช้เลี้ยงสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว ควาย มีคุณค่าทางอาหารสูง”

ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง



ชื่อสามัญ
ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Dracaena surculosa Lindl. cv. Friedmannii
ชื่อวงศ์
DRACAENACEAE 

ไทรย้อยใบทู่


รหัสพรรณไม้ 7-11000-001-018 

ชื่อสามัญ ไทรย้อยใบทู่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus retusa L. var. retusa

ชื่อวงศ์ MORACEAE

ลักษณะวิสัย ไม้ดอก

ลักษณะเด่น มีลำต้นสีน้ำตาล ใบสีเขียว รวมทั้งมีดอก และผล

ประโยชน์ ไม้ดอกไม้ประดับ

ไกร




ไกร

รหัสพรรณไม้
7-11000-001-007

ชื่อสามัญ
ไกร

ชื่อวิทยาศาสตร์
Ficus concinna Miq.

ชื่อวงศ์
MORACEAE

โยทะกา



ชื่อสามัญ
โยทะกา 
ชื่อวิทยาศาสตร์
Bauhinia tomentosa L.
ชื่อวงศ์
LEGUMINOSAE - CAESALPINIOIDEAE

ต้นโมก โมกบ้าน



ชื่อสามัญโมก โมกบ้าน
ชื่อวิทยาศาสตร์Wrightia religiosa Benth. ex Kurz 
ชื่อวงศ์APOCYNACEAE
ลักษณะวิสัยไม้ดอก ไม้ประดับ
ลักษณะเด่นมีลำต้นสีน้ำตาล ใบสีเขียว รวมทั้งมีดอก และผล
ประโยชน์ไม้ประดับ

โพธิ์



ชื่อสามัญ
โพธิ์
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ficus religiosa  L.
ชื่อวงศ์
RUTACEAE

แสงจันทร์



ชื่อวิทยาศาสตร์: Pisonia grandis R.Br. 
ชื่อวงศ์:  NYCTAGINACEAE   
 ชื่อสามัญ :  แสงจันทร์

แคแสด

แคแสด

ชื่อพื้นเมือง แคแสด
ชื่อสามัญ African Tulip Tree, Fire Bell, Flame of the forest, Fountain Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathodea campanulata P. Beauv.
ชื่อวงศ์ BIGNONIACEAE
ชื่ออื่น แคแดง ยามแดง
ลักษณะทั่วไป ไม้พุ่มสูง หนาทึบ ลำต้นสูงประมาณ 70 ฟุต ถ้าปลูกในที่แล้งจะผลัดใบ เรือนยอดกลม
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 4-9 คู่ รูปไข่แกมขอบขนาน โคนใบเบี้ยว ใบสีเขียวสด
สากระคายมือ
ดอก ออกดอกเป็นช่อสั้นตั้งขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่ง ดอกจำนวนมาก เป็นหลอดโค้ง ปลายแยกเป็น
5 กลีบ รูประฆังหงาย สีแดงอมส้ม ดอกทยอยบานครั้งละ 2-6 ดอก
ผล เป็นฝักแบนยาว
การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด จะออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 4-8 ปี ถ้าตัดแต่งกิ่งให้แตกเป็นพุ่มกลม
ก็จะให้ดอกเป็น พุ่มกลมตามรูปของเรือนยอดดูสวยงามมาก
การกระจายพันธุ์ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดจัด ทนแล้ง ทนลม
ประโยชน์ เปลือกแก้บิด รักษาแผลโร
คผิวหนังและแผลเรื้อรัง เปลือกต้มบำรุงธาตุ ใบ ใช้พอกแผล



ดอก รักษาแผลเรื้อรัง

 

แคนา




ชื่อสามัญ           แคนา
ชื่อวิทยาศาสตร์  Dolichandrone serrulata (DC.) Seem.
ชื่อวงศ์               BIGNONIACEAE

แก้วเจ้าจอม



แก้วเจ้าจอม

รหัสพรรณไม้
7-11000-001-005

ชื่อสามัญ
แก้วเจ้าจอม

ชื่อวิทยาศาสตร์
Guaiacum officinale L.

ชื่อวงศ์
ZYGOPHYLLACEAE PAPILIONOIDEAE

แก้ว




แก้ว

รหัสพรรณไม้
7-11000-001-004

ชื่อสามัญ
แก้ว

ชื่อวิทยาศาสตร์
Murraya paniculata Jack.

ชื่อวงศ์
RUTACEAE

เสี้ยวป่า



เสี้ยวป่า

                ชื่อสามัญ         Orchid Tree, Purple Bauhinia 

ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia saccocalyx Pierre
ชื่อวงศ์           LEGUMINOSAE (CAESALPINIACEAE)
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 10 เมตร เป็นพืชที่สามารถขึ้นได้ในทุกสภาพดิน พบมากในป่าเต็งรังแถบภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน
เสี้ยว มีหลายชนิด เช่น เสี้ยวดอกแดง เสี้ยวดอกขาว เสี้ยวป่า เป็นต้น เสี้ยวบ้านนิยมนำยอดอ่อนมาปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิดเช่น ต้มหรือนึ่งกินกับน้ำพริกต่างๆ พื้นเมืองเหนือนิยมนำมาแกงโดยใส่วุ้นเส้นและไข่มดแดงลงไปเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อมากที่สุดชนิดหนึ่ง

 สี้ยวที่ทำการศึกษาคือ เสี้ยวป่า เป็นไม้ยืนต้นที่มีอยู่ทั่วไปในป่าเต็งรัง ลักษณะลำต้นมีเปลือกหนาเป็นร่อง เนื้อไม้เปราะ หักง่าย ลายไม้ไม่เป็นระเบียบ กิ่งก้านคดงอ แตกออกจากลำต้นอย่างไม่เป็นระเบียบ เป็นต้นไม้ที่มีรากแก้วหยั่งลึกลงไปในดิน และมีรากแขนงแตกออกโดยรอบแผ่ออกไปตามพื้นดิน ใบเป็นใบแฝดสีเขียว คล้ายปีกผีเสื้อ ออกดอกเป็นช่อ ผลคล้ายฝักถั่ว ออกเป็นพวง มีเมล็ดอยู่ภายในประมาณ 20 เมล็ด
การขยายพันธุ์ของเสี้ยวป่ามักงอกต้นใหม่ขึ้นมาจากรากที่กระจายไปตามพื้นดินรอบๆ ต้นมากกว่าการงอกจากเมล็ด ทำให้มักพบเสี้ยวป่าขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม รวมกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆ มากกว่าพบอยู่ต้นเดี่ยว ๆ และเนื่องจากมีกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มทึบ ทำให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประเภท นกและแมลง บางชนิด รวมทั้งงูด้วยซึ่งอาศัยเป็นที่หลบศัตรู และกินดอกเสี้ยวเป็นอาหาร
การใช้ประโยชน์ของเสี้ยวป่า จะใช้ประโยชน์จากการนำลำต้น หรือกิ่งที่มีความตรงอยู่บ้างมาทำเป็นเสาค้ำยันให้แก่บางส่วนของบ้าน แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ทำเป็นเสาสำหรับพืชผักที่เป็นไม้รอเลื้อย หรือนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง เผาถ่าน
“เสี้ยวป่า” เป็นไม้พื้นเมืองอีกชนิดหนึ่งที่พบเห็นโดยทั่ว ๆ ไป มีความเกี่ยวข้องภูมิปัญญาชาวบ้าน ประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรม ค่อนข้างไม่ชัดเจน การนำเอาส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ไปใช้ประโยชน์มีน้อย จึงเป็นที่น่าสนใจในจุดนี้ที่น่าจะมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
วิธีการในการศึกษา

1. การศึกษาด้านพฤกษศาสตร์
      1.1 ศึกษาเกี่ยวกับขนาดของส่วนต่างๆ ของเสี้ยวป่า
วิธีการศึกษา
      ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ “เสี้ยวป่า” ใช้การศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างต้นที่มีอายุแตกต่างกัน เพื่อให้เห็นการเติบโตตามระยะเวลาและอายุของต้นไม้
      1.2 การศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางเคมีของส่วนต่างๆ ของพืช ใช้สารเคมี เช่น สารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต สารละลายเบเนดิกซ์ น้ำแป้งสุก โปตัสเซียมไอโอไดน์ สารละลายยูนิเวอร์อินดิเคเตอร์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ ในการตรวจหาคุณสมบัติต่าง ๆ
2. การศึกษาด้านชีววิทยาของพืช ใช้วิธีการศึกษาแบบเปรียบเทียบ เพื่อหาอัตราการเจริญเติบโตของพืชในระยะเวลาต่าง ๆ ความสัมพันธ์กันระหว่างพืชและองค์ประกอบต่าง ๆ สภาพของดิน อากาศ ทั้งนี้เพื่อให้เห็นวงจรชีวิตของพืชนั้น
3. การศึกษาด้านนิเวศวิทยาของพืช ใช้วิธีการสังเกต การตรวจสอบจุดที่พืชขึ้นอยู่ในบริเวณที่แตกต่างกัน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับสิ่งอื่น
4. การศึกษาการใช้ประโยชน์และภูมิปัญญาท้องถิ่น ประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรม ศึกษาโดยการค้นคว้าจากเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ การสอบถามผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ในท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอื่นๆ

จากการศึกษา “เสี้ยวป่า” พบว่า “เสี้ยวป่า” เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก มีความสูงได้มาก 10 - 15 เมตร มีกิ่งก้านสาขามากมาย สามารถขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด พบมากในพื้นที่ป่าเต็งรัง ทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
         เสี้ยว มีอยู่หลายชนิด เช่น เสี้ยวป่า เสี้ยวดอกแดง เสี้ยวดอกขาว เป็นต้น เสี้ยวดอกขาว สามารถนำยอดอ่อน ใบอ่อนไปทำอาหารรับประทานได้ และเป็นอาหารพื้นเมืองเหนือที่นิยมกันเป็นอย่างมาก 

ลำต้น
ของเสี้ยวจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ทั่วไป
ราก
ของต้นเสี้ยวมี 3 ชนิด คือ รากแก้ว รากแขนง และรากแขนงย่อย แต่ละชนิดมีขนาดแตกต่างกัน โดยรากแก้วจะมีขนาดใหญ่ รองลงมาคือรากแขนง ขนาดเล็กสุดคือรากแขนงย่อย รากแก้วของต้นเสี้ยวจะมีความแข็งแรงและเหนียวช่วยในการยึดเกาะ และทำให้ลำต้นตั้งตรง หมวกรากมีความแข็งมากเนื่องจากต้นเสี้ยวมักขึ้นในพื้นที่แห้งแล้ง พื้นดินแข็ง ทำให้ต้องมีรากที่แข็งแรงเพื่อการชอนไชพื้นได้ดี รากต้นเสี้ยวทำหน้าที่ในการดูดน้ำและอาหารให้แก่ลำต้น และยังช่วยในการซับน้ำและทำให้การยึดเกาะของดินดีขึ้น
ขนาดของลำต้นขึ้นอยู่กับบริเวณที่เสี้ยวขึ้นอยู่ หากมีต้นไม้หนาแน่นจะมีลำต้นเล็กตั้งตรงและสูง หากอยู่ในที่ต้นไม้น้อยจะมีขนาดของลำต้นใหญ่แต่ไม่สูง ลำต้นแตกกิ่งออกโดยรอบเป็นทรงพุ่ม ลำต้นมีเปลือกหุ้มหนาประมาณ 1 นิ้ว เปลือกเป็นสีเทาปนดำ บริเวณที่อยู่ใกล้พื้นดินจะมีสีเข้มกว่าส่วนที่อยู่สูงกว่า เปลือกของลำต้นจะมีน้ำยางสีขาวใส เมื่อถูกผิวหนังจะมีอาการคันเล็กน้อย เปลือกและ น้ำยางมีกลิ่นชื้นเล็กน้อย เมื่อใช้ลิ้นแตะดูจะมีรสฝาดเล็กน้อย เนื้อไม้มีสีขาว ลายไม้ไม่เป็นระเบียบ มีความแข็งพอสมควร แต่เปราะหักง่าย ไม่นิยมนำไปใช้ประโยชน์อื่นนอกจากการนำไปใช้เผาทำถ่านไม้ และนำลำต้นหรือกิ่งไปใช้ทำเป็นเสาค้ำส่วนประกอบของบ้าน หรือหลักที่ทำให้ไม้เลื้อยเกาะ
ใบเสี้ยว
มีลักษณะคล้ายปีกผีเสื้อ แต่โค้งมนกว่า ออกสลับกันไปมาตามข้อของกิ่ง ด้านบนของใบจะมีสีเขียวเข้มมากว่าด้านล่างของใบ ก้านใบเป็นสีเขียวอ่อน และจะเป็นสีเขียวปนน้ำตาลเมื่อเป็นใบแก่ เส้นใบมีการเรียงตัวคล้ายร่างแห ขอบเป็นคลื่นห่าง ๆ ไม่สม่ำเสมอ ปากใบเห็นไม่ชัดเนื่องจากใบบางมาก ด้านล่างของใบมีขน ด้านบนของใบไม่มีขน มีเส้นใบแตกแขนงไปทั่ว บริเวณโคนใบจะเป็นจุดศูนย์กลางของเส้นใบ
ดอก
เป็นดอกช่อ แบบกระจาย ประมาณ 6 - 12 ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวบริเวณกลีบเลี้ยงมีเส้นสีชมพูเป็นเส้นๆ จำนวน 5 เส้น กลีบเลี้ยงของดอกที่บานเต็มที่ยาว 8.5 เซนติเมตร กว้าง 0.5 เซนติเมตร เมื่อดอกบานกลีบเลี้ยงจะแตกแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน กลีบดอก สีชมพูถึงม่วงแกมขาว จำนวน 5 กลีบ บริเวณกลีบดอกจะมีลักษณะเป็นเส้นร่างแหแตกแขนงทั่วกลีบ กลีบดอกนุ่มมีขนเล็ก ๆ ตรงโคนกลีบดอกแคบ กว้าง 0.1 เซนติเมตร กลางกลีบกว้าง 1.5 เซนติเมตร ปลายมน ปลายสุดของกลีบกว้าง 0.5 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกเมื่อบานเต็มที่ตรงโคนดอก 1 เซนติเมตร กลางดอก 2.5 เซนติเมตร ขอบดอก 10.5 เซนติเมตร. เกสรตัวเมียสีเขียวอ่อน 1 อัน ติดอยู่กลางดอกและอยู่เหนือวงกลีบ มียางเหนียว ๆ บริเวณปลายยอด เกสรตัวผู้อยู่รอบ ๆ เกสรตัวเมีย ก้านชูสีขาวอมชมพู ละอองเรณูเป็นเม็ดกลม ๆ เหนียว ความยาวเฉลี่ยของก้านดอกประมาณ 12.5 เซนติเมตร ดอกเสี้ยวป่ามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สำหรับช่วยล่อแมลงในการผสมพันธุ์ ไม่ระคายเคืองเมื่อสัมผัส ออกดอกตลอดทั้งปี ออกมากใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคม
ในการทดสอบเพื่อหาปริมาณน้ำตาลในดอก เมื่อทดสอบกับสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตแล้วนำไปต้ม ผลปรากฏว่าเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐแสดงว่าในดอกมีปริมาณน้ำตาลอยู่
ผลเสี้ยวป่า
เป็นผลเดี่ยวออกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 4 - 6 ฝัก ฝักมีลักษณะแบนยาวคล้ายฝักกระถิน แต่ใหญ่กว่า มีขอบหนา แข็ง เปลือกหนา มีขนาดของฝัก กว้างประมาณ 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13 - 20 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายในประมาณ 20 เมล็ด มองเห็นเมล็ดได้อย่างชัดเจนจากภายนอกฝักที่จะนูนบริเวณที่เป็นเม็ด ฝักจะยึดติดกับปลายกิ่งโดยก้านฝักสีเขียวเมื่อเป็นฝักอ่อน และจะมีสีน้ำตาลเข้มเมื่อเป็นฝักแก่และแห้ง ก้านของผลจะมีความแข็งแรงมาก ไม่ขาดหรือหักได้ง่าย ผลจะออกประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม จากการทดสอบทางเคมี ไม่พบว่ามีแป้งและโปรตีนในเนื้อของผลเสี้ยวป่า แต่จะมีปริมาณน้ำตาลและวิตามินซีอยู่บ้าง
เมล็ดของเลี้ยวป่
จะมีจำนวนเมล็ดประมาณ 10 - 20 เมล็ดต่อฝัก มีลักษณะเป็นรูปวงรี ขนาดของเมล็ดมีความกว้างประมาณ 0.3 - 0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 0.5 - 1.0 เซนติเมตร เมล็ดอ่อนจะมีเปลือกนิ่ม เป็นเยื่อบาง ๆ เมล็ดแก่จะแห้ง แข็ง เมล็ดมีระยะพักตัวนาน เพาะด้วยวิธีการธรรมดาไม่งอก รสชาติเฝื่อน มีกลิ่นคล้ายเมล็ดแตงโม

เล็บมือนาง

เล็บมือนาง
ข้อมูลทั่วไป
เล็บมือนาง
 Quisqualis  Indica  Linn.
Fam. :COMBRETACEAE 
ชื่ออื่น 
มะจีมั่ง จ๊ามัง จะมัง (เหนือ)
ลักษณะทั่วไป
ต้น      เป็นพรรณไม้เถาขนาดกลาง  ที่แตกกิ่งก้านสาขาหนาทึบและตามลำต้น หรือกิ่งอ่อน จะมีขนสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมอยู่  แต่ต้นที่แก่ ผิวจะเกลี้ยง  หรือบางทีก็กลายเป็นหนามไป เลย  ต้องหาหลักยึดหรือร้านให้ลำเถาเกาะยึด 
ใบ       เป็นไม้ใบเดี่ยว  ออกตรงข้ามกันเป็น คู่ ๆ  ลักษณะของใบเป็นรูปมนขอบขนาน ปลาย ใบแหลมหรือมนและมีติ่งแหลม โคนใบจักเว้า เข้าเล็กน้อย  ขอบใบเรียบหรือบางใบก็เป็น คลื่น  ขนาดของใบกว้างประมาณ  1 - 1.5  นิ้ว ยาว  3 - 6  นิ้วมีสีเขียว  เนื้อบางและท้องใบจะ มีขนปกคลุมจำนวนมาก
ดอก     ออกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ลักษณะของดอกจะเป็นหลอดยาวมาก ยาวประมาณ  3 - 4  นิ้ว  ตรงปลายแยกออกเป็น  5  กลีบ  สีชมพู  หรือสีแดงอมขาว  หลอดของดอก จะโค้งเล็กน้อย  เกสรยาวยื่นออกมากลางดอก 5  อัน
ผล      เป็นสัน  และแข็ง  มันมีอยู่  5  สันผล โตประมาณ  0.5   นิ้ว  ยาว  1 - 1.5  นิ้ว มีสีดำ
การขยายพันธุ์      เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบขึ้นในดินที่ปนทรายหรือดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี  จะเลื้อยขึ้นเป็นพุ่มตาม ร้านที่เตรียมไว้ให้  ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอน และเอาเหง้าไปปลูกก็ได้แต่ต้องฝังลึกประมาณ 4  นิ้ว    
ส่วนที่ใช้   ทั้งต้น  ใบ  ผล  เมล็ด  และราก
สรรพคุณ
ใบ         ตำพอกแก้บาดแผล  แก้อักเสบ หรือ ทาแก้แผลฝี     และถ้านำไปผสมกับสมุนไพร ชนิดอื่น ๆ   จะเป็นยาแก้ตัวร้อน   แก้ปวดหัว ถอนพิษ  แก้สารพัด  แก้กาฬ  แก้พิษสำแดง ของแสลง
เมล็ด    เป็นยาถ่ายพยาธิลำไส้  ถ้าเป็นผู้ ใหญ่ให้ใช้   5 - 7   เม็ด   ทุบให้แตกแล้วต้ม เอาน้ำดื่ม
ทั้งต้น       แก้ตานขโมยพุงโร  ขับพยาธิและ ตานทราง
ผล           แก้อุจจาระเป็นฟอง  เหม็นคาวใน เด็ก  และขับพยาธิไส้เดือน  กินแล้วทำให้สะอึก
ราก      แก้อุจจาระเป็นฟอง  เป็นยาระบาย ขับพยาธิไส้เดือน   แต่ถ้าผสมกับสมุนไพรอื่น จะใช้แก้  ตานขโมย  แก้เด็กเป็นซาง แก้ซางแห้ง  แก้อุจจาระพิการ ริดสีดวง แก้ธาตุวิปริต แก้ตับทรุด  เจริญอาหาร 

เฟื่องฟ้า



ชื่อสามัญ
เฟื่องฟ้า
ชื่อวิทยาศาสตร์
Bougainvillea spectabilis Willd. 
ชื่อวงศ์
NYCTAGINACEAE

เฟิร์นข้าหลวงหลังลาย


ชื่อสามัญ
เฟิร์นข้าหลวงหลังลาย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Asplenium nidus L.
ชื่อวงศ์
ASPLENIACEAE

เดหลี

ชื่อสามัญ           เดหลี
                                                                 ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathiphyllum sp.
      ชื่อวงศ์              ARACEAE

เข็มญี่ปุ่น




้ิ่เข็มญี่ปุ่น

รหัสพรรณไม้
7-11000-001-010

ชื่อสามัญ
เข็มญี่ปุ่น

ชื่อวิทยาศาสตร์
Ixora strictra Roxb.

ชื่อวงศ์
RUBIACEAE

เกาลัด


เกาลัด

เกาลัด

รหัสพรรณไม้  7-11000-001-048

ชื่่อสามัญ           เกาลัด
ชื่อวิทยาศาสตร์   Sterculia monosperma Vent
ชื่อวงศ์               STERCULIACEAE
ลักษณะวิสัย      ไม้พุ่ม
ลักษณะเด่น       -
ประโยชน์           ผล  รับประทานได้






อินทรนิลบก

อินทนิลบก

รหัสพรรณไม้
7-11000-001-017
ชื่อสามัญ
อินทนิลบก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Lagerstroemia macrocarpa Wall.
ชื่อวงศ์
LYTHRACEAE
ลักษณะวิสัย
ไม้ดอก ไม้ประดับ
ลักษณะเด่น
มีลำต้นสีน้ำตาล ใบสีเขียว รวมทั้งมีดอก และผล
ประโยชน์
เป็นไม้ประดับ

g
g
g






g
g
g






g
g
g






g
g
g